“น้าเดี๋ยวพรุ่งนี้เสร็จงานบนไร่ผมจะมารับนะ” ผมเอ่ยกับน้าดม และน้าหนู สองสหายรุ่นน้าที่คบหาสมาคมกันคล้ายเพื่อน กลางวงเบียร์สด ร้านน้าฟูที่ตั้งอยู่ริมทางก่อนถึง อำเภอสวนผึ้งเล็กน้อย “ประมาณกี่โมงครับ” น้าหนูถาม “บ่ายๆแหล่ะน้ายังไงก็จะลงมาให้เร็วครับ เดี๋ยวจะต้องซื้อเสบียงด้วย” ผมตอบโดยที่ยังไม่รู้ว่าลูกค้าที่มาเที่ยวที่ไร่จะกลับกี่โมงกี่ยาม “เอ..แล้วคุณ ทัศน์พลจะไปนอนที่ไหนล่ะ” น้าดมถามถึงจุดหมายปลายทาง “น้าจำเมื่อคราวผมไปถ่ายงานให้พี่โต้งได้ไหม ครั้งนั้นเราแวะไปหลังบ้านน้าจะกรุ้งน่ะ”ผมย้ำความทรงจำให้น้าดม “จำได้ๆ จะไปนอนที่นั่นใช่ไหม”น้าดมขอความแน่นอน “ใช่คืนนี้เราจะไปนอนที่นั่น” ผมพูดแล้วอมยิ้มในใจ “หลังบ้านจะกรุ้งที่ติดริมห้วยนั่นใช่ไหม ปลาไม่น่าจะมีผมว่านะ” น้าหนูออกความเห็นหลังจากสาดเบียร์ลงคอไปอึกใหญ่ๆ “คุณ ทัศน์พล เขาไม่ได้หวังปลาในห้วยหรอกน้าหนู” น้าดมสรรพยอก แล้วเบนหน้ามายิ้มให้ผม เรื่องของเรื่องคือเมื่อคราวที่แล้ว น้าหนูไม่ได้ไปด้วยจึงไม่รู้เรื่องอะไรครับ
บ่ายโมงกว่าๆงานที่ไร่ก็เสร็จสิ้นกล้องวีดีโอ กล้องภาพนิ่งตั้งชาร์จแบตฯไว้อีกสักชั่วครู่ หาข้าวปลารองท้องก่อนเดินทาง บุหลัน รันตี ถลาเข้ามาถามไถ่ว่าจะเลยไปไหนต่อ ผมเองกะว่าจะอุบไว้ไม่ยอมบอก เห็นว่างานหนักอยากให้พักผ่อนซะบ้าง พยายามซ่อนคันเบ็ดไว้แล้วแต่ไม่รอดพ้นสายตา จึงจำใจบอกไป “อะไรน่ะ จะไปนอนหลังบ้าน จะกรุ้งรึ โอโหไม่มีชวนเลยนะ แล้วมีใครไปบ้าง” บุหลัน รันตีทำตาโตเมื่อทราบถึงจุดหมายปลายทาง “ก็แหมผมเห็นพี่เหนื่อยนี่ ต้อนรับลูกค้ามาเป็นอาทิตย์แล้ว” ผมหยอดยาหอมตรา 25 เจดีย์ “อย่าๆๆๆมาหวังดีแบบนี้ มีแผนอะไรจะไปนอนที่นั่น” พี่แกพยามยามเค้นความจริง “ก็แค่ไปตกปลาครับ คราวที่แล้วพี่ก็เห็นปลากระทิง กลางวันแดดเปรี้ยงมันยังกิน คราวนี้ไปนอนเฝ้ากลางคืนด้วย เผื่อได้ติดไม้ติดมือกลับบ้านไงครับ” ผมชักแม่น้ำไนล์มาให้เหตุผล “เชื่อๆ ใครเชื่อก็บ้าแล้ว เอางี้เดี๋ยวเย็นๆจะตามไปอะไรก็สั่งไว้เดี๋ยวให้สาวๆในไร่เขาทำไปเผื่อ” ฮั่นแน่......เอาของกินมาล่อ โถอยากตามไปก็ไม่มีใครว่าครับ
ผมควบแมลงหวี่สีแดงเพลิงลงมาจากไร่แวะไปรับน้าดม และน้าหนูที่เขาลูกช้าง แวะร้านค้าหาซื้อเสบียงติดไม้ติดมือไปพอสมควร เหลือบไปเห็นน้าหนูกำลังจะซื้อ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ผมรีบทักท้วงทันที “น้าครับ ไม่ต้องเลยนะมาม่าเนี่ย เข้าป่าตกปลาหากแม้ว่าไม่มีอะไรกินก็ให้มันอดตายกลางป่าไปเลยครับ” เสบียงทั้งหลายส่วนใหญ่เป็นข้าวสาร เครื่องแกง เครื่องผัด ส่วนผักกับปลาไปหาเอาข้างหน้าครับ อากาศช่วงเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นช่วงที่กำลังเข้าสู่ฤดูฝน ผืนป่ากำลังจะได้รับความชุ่มชื่นพลิกฟื้นคืนชีวิตที่เขียวขจีอีกครั้ง อากาศที่เย็นสบายแม้เวลาจะล่วงเลยมาบ่ายกว่าแล้วทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะเปิดกระจกรับกลิ่นอายแห่งผืนป่า ลมหายใจที่บริสุทธิ์ที่ผืนป่ามอบให้ ขอสูดให้เต็มปอดสักทีเถอะ เพียงครึ่งชั่วโมงจากอำเภอสวนผึ้ง ผมก็มาถึงบ้านน้าจะกรุ้ง ที่ปลูกแบบง่ายๆ พื้นที่รอบบ้านแวดล้อมไปด้วยพุทธราพันธุ์ดีหลายไร่ หลังจากทักทายกันพอสมควรผมนำรถลงสู่ท้ายไร่ด้วยหัวใจที่กระเหี้ยนกระหือรือ “ว่าอย่างนั้น” สองน้าช่วยกันขนอุปกรณ์ลงไปยังลำห้วย โดยได้ลูกชายน้าจะกรุ้งมาช่วยอีกแรง น้ำในลำห้วยคราวนี้สีออกขุ่นซะแล้ว ใจก็เริ่มกลัวว่าจะกินแห้วเหมือนกันคราวนี้ แต่ไม่เป็นไร ไม่ได้ปลาได้อย่างอื่นก็ยังดี “ได้อะไรบักหนวด” ฮาๆๆๆๆๆๆๆ
เด็กๆเพื่อนของลูกชายน้าจะกรุ้งมาช่วยตกปลา ก็เป็นที่สนุกสนานให้กับเด็กๆกันไป ผมเองตั้งหน้าตั้งตาตกปลากระสูบที่เห็นขึ้นน้ำหลังไวๆ แต่ก็อดส่งสายตาอิจฉาพวกเด็กๆที่ใช้ใส้เดือนตกปลากระทิงที่วัดคันเบ็ดกันเป็นว่าเล่น เรื่องของเรื่องมิใช่อะไรครับ ผมจับใส้เดือนไม่ได้กลัวครับ ปลากระทิงที่อาศัยอยู่ในลำธารแห่งนี้ แต่ละตัวอ้วนมันจุกอก น่าย่างหรือแกงป่ายิ่งนัก ตะวันคล้อยบ่ายแก่แต่ทว่าแสงสว่างกลับลดลงมากเนื่องจากขณะนี้บนหัวเรากำลังมีเมฆก้อนใหญ่ปกคลุม ทมึน ยังไม่ทันได้เอื้อยเอ่ยฝนก็กระหน่ำเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา น้าจะกรุ้งจึงพาเราระเห็จขึ้นไปหลบฝนที่บ้านของกะเหรี่ยงริมห้วย โดยมีเจ้าของบ้านตัวเล็ก 2 พี่น้องเป็นผู้ต้อนรับ “หนูพ่อกับแม่ไปไหน” น้าดมถาม “ไปไร่”เด็กน้อยตอบ ยังไม่ทันจะถามไถ่อะไรต่อ บุหลัน รันตี ก็โหวกเหวกมาแต่ไกล เลยต้องหลบฝนขึ้นมานั่งบนบ้านด้วยอีกคน “แล้วบ้านใครเขานี้แห่ขึ้นมาเต็มเดี๋ยวก็โดนไล่ยิงหรอก” แหมมาถึงก็ขู่เลย “อ้าวหนาวยัง เอานี่ไป”พี่แกพูดพร้อมส่งขวดใส่น้ำสีอำพันมากลางวง “โอ้...โหกำลังหนาวจับใจ อีเผือกมันเอาไม่อยู่ต้องเอาอย่างนี้มากลั้วคอก่อน” น้าหนูรับขวดมาก่อนใครเพื่อน พร้อมกับรินแจกไปทั่ววง “คุณทัศน์พล เอาสักหน่อยไหมจะได้คลายหนาว” น้าดมชักชวน “โอ้...ไม่ครับ ผมไม่ค่อยถนัด” ผมปฏิเสธ “โอย....เขาไม่ค่อยถนัดหรอกเรื่องนี้ เรื่องอื่นละก็สุดยอด” บุหลัน รันตี หันมากระแนะกระแหน “หนูๆมีพี่สาวไหม ถ้ามีมาบอกลุงคนนี้เลยนะ เดี๋ยวลุงแกแจกขนม” โอ้ว...แม้เจ้า พี่แกเล่นพูดต่อหน้าเด็กเลยเล่นเอาคณะผีบ้าริมห้วยหัวเราะครืน “มี”เด็กตอบกลับมาด้วยความใสซื่อ “แล้วไปไหนเสียล่ะ”ผมอดสอดเข้าไปถามไม่ได้ “ไปโรงเรียน” เด็กน้อยตอบ “อยู่ชั้นอะไร” น้าดมถาม “ ม. 3” “โอ้...โห..คุณทัศน์พล” ก่อนที่น้าหนูจะพูดอะไรผมต้องรีบสั่ง “พอๆๆๆผมไม่ใช่คนอย่างนั้น”กระท่อมเล็กๆที่พอเป็นที่พักอาศัย สำหรับผู้คนชาวกะเหรี่ยงหากว่าคนเมืองมาเห็นคงบอกว่าอยู่ยากลำบาก แต่พวกเขาก็สามารถอยู่กันได้อย่างมีความสุข
บ่าย 4 โมงเวลาเด็กสาววัย 15 ปีสวมชุดนักเรียนเดินฝ่าสายฝนเนื้อตัวเปียกปอนเดินขึ้นมาบนบ้าน สายตาของทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียว “มิน่าทำไม่ชวนเรามาแต่ที่หลังบ้านจะกรุ้งอย่างเดียวเลย เป็นอย่างนี้นี่เอง” น้าหนูบ่นอุบ ฝนเริ่มลาเม็ดเราก็เลยต้องลาเจ้าของบ้านลงไปยังริมห้วยตามเดิม น้ำในลำห้วยเริ่มเปลี่ยนสีจากที่เคยใสกลายเป็นสีขุ่นโคลน “โอย...ถ้าน้ำเป็นอย่างนี้เห็นที่จะได้ตัวยากนะ ย้ายที่กันไหม” น้าดมว่า “ไม่เป็นไรเดี๋ยวสักพักปลามันก็เข้ามาเองแหล่ะ” ผมให้ความเห็น “รู้ๆว่าชวนอย่างไรก็ไม่ไป งั้นหาทำเลกางเต็นท์เถอะเดี๋ยวมืดค่ำ” น้าหนูว่าสมทบ ความจริงทริปนี้ตั้งใจมาหาปลาจาดครับ เคยตกได้ที่ริมห้วยแห่งนี้ วาดหวังไว้จะนำขึ้นปกหนังสือ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้ตัว น้าหนูไปหาที่กางเต็นท์ น้าดมเตรียมตั้งเตาไฟหุงข้าวควันโขมงโฉงเฉง ส่วนผมยังระเขะระขะในป่าริมห้วย นั่งเหม่อมองสายน้ำไหลริน เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงหัวร่อต่อกระซิก ดังมาจากกลางลำธาร เด็กๆพากันยกโขยงลงมาอาบน้ำ ทั้งเด็ก ทั้งสาว ทั้งเลยสาว ด้วยความที่ว่าเรานั้นศรัทธาในศิลปะการถ่ายภาพ เลนส์ 300 มิล ซูมสุดๆ เลยได้ภาพสวยๆมาฝากกันครับ
ฟากฝั่งน้าหนูเมื่อเห็นสาวน้อยสาวใหญ่ลงมาระเริงน้ำ จึงหันไปกระซิบกระซาบกับน้าดมว่า “ดม..ไปบอกทัศน์พลซิภาพกำลังสวยเลย” พูดเสร็จก็ชม้ายชายตาลงไปยังลำห้วย “ไม่ต้องไปบอกหรอก ดูสิกำลัง ซูมเอาเป็นเอาตายที่ชายป่าไม่เห็นรึ” น้าดมโบ้ยปากมาทางที่ผมนั่งอยู่ น้าหนูหัวเราะในลำคออย่างปลงตก อย่างไรสายตาของน้าหนูที่ว่าสุดยอดแค่ไหนก็แพ้สายตาอันคมกริบของตากล้องคนเมือง
คืนค่ำเคลื่อนคล้อยมาตอกย้ำความอ้างว้างกันอีกค่ำคืน ข้าวที่หุงสุกพร้อมน้ำพริกกะเหรี่ยงไปนอนเอียงกระเท่เร่ในพุงหมดแล้ว เหลือแต่เพียงว่าต่อจากนี้จะทำอะไรกัน เบ็ดที่ลงไว้ขาดเยื่อใยจากปลาน้อยใหญ่ไปนานแล้ว สามน้ากำลังเฮฮาร่ำสุราอย่างออกรสชาติ แม่บ้านของน้าจะกรุ้งเดินลัดเลาะมาเติมกับแกล้มกับข้าวให้บ้าง “ถามจริงๆเหอะ ทัศน์พล ที่มาที่นี่หวังอะไรหรือเปล่า” น้าหนูยังเป็นคนแก่ขี้สงสัย “เปล่าน้า ก็มาคราวที่แล้วปลามันกินดี เลยมาลองอีกครั้งแค่นั้นเอง” ผมให้เหตุผลอย่างจริงจัง คืนนั้นวงสนทนาวงนี้ยืดยาวไปสักเท่าไรก็ไม่ทราบได้ผมยืนยงอยู่ได้เพียง 5 ทุ่มก็ขอตัวนอน อิ่มไออุ่นกับผ้าห่มผืนเก่า ลายโดเรม่อน...
เช้าวันใหม่ไก่ป่าโก่งคอขันแข่งกับเสียงกระแอมกระไอจากนอกเต็นท์ ผมลุกออกมาก็พบกับน้องคนนั้นที่เดินมาด้อมๆมองๆ “เห็นเงียบๆนึกว่ายังไม่ตื่นกัน” น้องเขาว่า “ตื่นแล้วเพียงแต่อยากนอนฟังสำเนียงแห่งป่าบ้าง” ผมตอบไปทั้งๆยังมัวขี้ตา “เออ...แล้วเรียนที่ไหนล่ะเรา” “เรียนที่ห้วยม่วงค่ะ” น้องเขาตอบโดยสายตายังไม่ละจากปลายคันเบ็ดที่ผมลงไว้เมื่อคืน “แล้วชื่ออะไรล่ะ” ผมถาม “เราชื่อ ชูนุ” ก่อนที่จะคุยอะไรเพิ่มเติมมากไปกว่านี้ บุหลัน รันตียืนกระแอมกระไอแทบอ้วกแตกอยู่ข้าง “ชูนุ เดี๋ยวใส่ชุดประจำเผ่ามาให้ดูหน่อยสิ จะขอยืมตัวถ่ายโฆษณาหน่อย” ผมสั่งก่อนที่เธอจะลุกเดินออกไป ทรปนั้นผมเลยได้ ชูนุ มาเป็นนางแบบถ่ายโฆษณา เหยื่อปลอมยี่ห้อของผมเองไปด้วยในตัว “ปัดโธ่! ผมนึกว่าจะมาจีบสาวกะเหรี่ยง ที่ไหนได้จะมาถ่ายงานนี่เอง ลุ้นแทบตาย” บุหลัน รันตีบ่นอุบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น