สายลมที่พัดพาหมอกหนาเข้าถาโถมสู่สันเขา เสียงไม้ใหญ่ที่โอนอ่อนลู่ลมดังก้อง ฟังดูก็น่ากลัวดีสำหรับคนขวัญอ่อน หยดน้ำจากหมอกพรั่งพรูลงมาทำให้เสื้อผ้าเปียกปอน ยิ่งสร้างความหนาวเย็นจับขั้วหัวใจเพิ่มมากขึ้น ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเดินเท้าขึ้นมาที่สันสิงโต พื้นที่ป่าอุทยานธรรมชาติวิทยา ในอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี แล้วเจอเข้ากับสภาพอากาศแบบนี้ หลายๆครั้งที่ขึ้นมาส่วนใหญ่จะลมสงบช่วงกลางวัน ตกกลางคืนจะมีอากาศเย็นบ้าง แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนมนต์เสน่ห์สันเขาแห่งนี้ก็ยังเป็นสถานที่ที่ผมชอบ อยากจะเดินขึ้นมาทุกครั้งที่มีวันว่างเลยทีเดียว
การเดินทางเที่ยวป่าหน้าฝน หลายคนได้ยินคงเบือนหน้าหนี เพราะทั้งความยากลำบากในเรื่องการเดินทาง หรือการใช้ชีวิตอยู่ในป่าช่วงฤดูนี้ จึงทำให้เรื่องของการเดินป่าหน้าฝนจึงไม่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั่วไป แต่สำหรับผมเรื่องการเดินป่ามันกำลังจะกลายมาเป็นหน้าที่ หน้าที่ที่จะต้องเข้าไปบันทึกเรื่องราวมาฝากชาวบล็อก เส้นทางเดินป่าของผมมันจึงไม่มีฤดูครับ คิดอยากจะไปก็ไป ครั้งนี้ก็เช่นกันผมนัด โก๋วรณ์ กล้วยไม้ ว่าจะมารอนแรมตามหา ดอกฟ้า ในป่าใหญ่เช่นเดิม โดยเพิ่มกิจกรรมพิเศษซึ่งจะทดลองใช้ไฟล่อแมลงป่า เพื่อตรวจสอบว่ายังพอมีแมลงหายากอาศัยอยู่ในผืนป่าแห่งนี้สักกี่มากน้อย
เส้นทางเดินเท้าแบบเดิมๆ แต่ภูมิทัศน์นั้นงดงามและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สายน้ำในลำห้วยมีมากขึ้น แต่ก็ยังใสเย็นเช่นเดิม ฝูงทากหน้าเก่าๆยังชะแง้แลคอมอง "ว้าย!!!! บักหนวดมันมาอีกแล้วพวกเราช่วยกันทากตัวผู้อย่าให้ไปดูดเลือดมันเชียวนะ" ทากตัวเมียตัวหนึ่งร้องลั่น "ทำไมยะหล่อนถึงให้บรรดาทากตัวผู้ไปดูดเลือด บักมีขนริมปากนั่นไม่ได้" ทากสาวฉอเลาะ "ต๊าย!!!นี่หล่อนไม่รู้อะไรซะแล้ว ทริปก่อนผัวฉันไปดูดเลือดหมอนี่ ตอนนี้มันมีกิ๊กไป 20 กว่าตัวแล้วย่ะ" ทากตัวเดิมทิ้งท้ายประโยคพร้อมเชิดหน้าใส่ผม "ว้าวๆๆๆๆ!!!!งั้นฉันไปดูดเลือดมันเอง" ทากสาวแก่รีบถลันมาหาผมแต่ช้าไปโก๋วรณ์เดินตุ๊ปั๊ดตุ๊เป๋เหยียบเจ้าหล่อนไปโดยไม่ตั้งใจ............
กว่าย่างก้าวกลุ่มคนไพรอย่างผมจะมาถึงสันสิงโตได้ก็จนเจียนมืดเต็มที อากาศเย็นยะเยือก หยดน้ำจากหมอกพรั่งพรูดังเม็ดฝน แถมท้ายลมยังแรงอีกต่างหาก ที่สำคัญคนที่ โก๋วรณ์ ให้มาช่วยแบกสัมพาระก็ดันบอกทางกันไม่เข้าใจเดินหายไปคนละสันเขา โอ้....แม่เจ้า เสบียงทั้งหมดอยู่กับ 2 คนนั่นด้วย ตายหล่ะหว่าอดข้าวตายกลางป่าก็ครานี้แหล่ะหนอ โก๋วรณ์เดินย้อนกลับไปตามจนเจอ กว่าจะได้กินข้าวมื้อเย็นพยาธิก็แทบจะออกมาถือป้ายประท้วง แต่ก็ยังดียังไงก็ยังได้กิน น้ำพริกกะปิ แกงป่าหมู กับข้าวสวยร้อนๆท่ามกลางสายลมแรงและหยดน้ำจากหมอกหนา ทำเอาข้าวร้อนๆกลายเป็นข้าวเย็นไปเลย
หลังจากกินข้าวกันเรียบร้อยต่างก็ขนเอาเสื้อผ้าที่เปียกปอน ออกมาย่างไฟเพื่อให้มีเสื้อผ้าพอสวมใส่ในยามที่อากาศเย็น กองไฟยามนี้เป็นเหมือนดั่งสตรีที่งดงามที่ผมและทีมงานมาล้อมรุมอยากอุ้มไปอยู่ด้วยในเต็นท์ก็กลัววิญญาณกระเด็นครับ ช่างภาพนิ่งดูท่าจะหนาวกว่าใครเพื่อนจึงต้องมุดเต็นท์ไปก่อนใคร คืนนี้ทั้งคืนเราอยู่กันอย่างทุลักทุเล หยดน้ำยังคงพรำตลอดเวลา กระแสลมก็ยังไม่มีทีว่าจะเบาบาง
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ขอสักงีบ เพราะอ่อนล้ามาทั้งวันแล้ว ตลอดทางที่เราเดินกันมาพบกล้วยไม้ป่าหลายชนิดที่หลุดร่วงลงมาจากต้นไม้สูง บ้างก็ลงมาทั้งกิ่ง
บางชนิด โก๋วรณ์ บอกว่าเป็นกล้วยไม้ป่าที่สวยและมีช่อกดอกที่งดงาม หัวใจอย่างคนรักษ์แบบพวกเราจึงต้องเก็บใส่ย่ามเพื่อนำพาพวกเขาคืนสู่คาคบไม้
คนนำทางลงไปหาฟืนพบร่องรอยของ เลียงผา ที่มาหาที่หลบลมนอนพักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เรากางเต็นท์มากนัก ร่องรอยนี้บ่งบอกได้ว่าเจ้าเลียงผาตัวนี้น่าจะผละออกไปได้ไม่กี่ชั่วโมงที่เราเดินเข้ามา
สถาพที่ทั้งลมและฝนจากหมอกถาโถมเข้าใส่ ความเร่งรีบเมื่อคืนทำให้เราไม่พิถีพิถันในเรื่องการหลับการนอนเท่าไร รีบกินรีบนอน เช้าวันใหม่นั่งรินน้ำร้อนใส่แก้วกาแฟ โก๋วรณ์ย่องมากระซิบ "เมื่อคืนหนาวชิบเป๋ง"
ยังไม่จบนะครับ ขอให้ไปติดตามกันในวันข้างหน้าครับ วันที่ 2 ที่ผมและทีมงานจะต้องเผชิญความเลวร้ายของอากาศในวันต่อไปซึ่งถือว่าโหดมากๆครับ และติดตามชมภาพ แก้วผลึกลึกลับริมผานะครับผม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น